อย่างที่บอกแล้วว่าต้นทุนค่าแบตเตอรี่เป็นสัดส่วนที่สำคัญของต้นทุนรถทั้งคัน อยู่ในระดับหลายแสนบาท ซึ่งสำหรับรถเล็กๆ ถึงขนาดกลางบางรุ่นมักไม่ต่ำกว่า 5 แสน หรือบางรุ่นที่แบตเตอรี่ใหญ่หน่อยอาจราคาค่อนหรือถึงล้านบาท ซึ่งบางกรณีอาจคิดเป็นสัดส่วนมากถึงกว่า 50-70% ของราคารถทั้งคันด้วยซ้ำ ดังนั้นอายุของแบตเตอรี่ที่จะสามารถใช้งานได้จนกว่าจะถึงกำหนดต้องเปลี่ยนทั้งหมด จึงเป็นตัวเลขสำคัญที่ผู้ซื้อหลายคนเป็นกังวล และมักจะนำมาคำนวณควบคู่ไปกับต้นทุนค่าพลังงานไฟฟ้า
ปัจจุบันผู้ผลิตได้มีการรับประกันแบตเตอรี่ในระยะทางและระยะเวลาที่ไม่น้อย เช่น 150,000 – 180,000 กม. หรือเวลา 8 – 10 ปี และจากตัวเลขการใช้งานของรถไฟฟ้ารุ่นที่ออกมาก่อนหน้าหลายปีอย่าง Tesla สามารถวิ่งได้ถึงระดับหลายแสนกิโลเมตรโดยที่แบตเตอรี่เสื่อมไปไม่มาก ก็ทำให้อนุมานได้ว่า ในสภาพการใช้งานปกติทั่วไป แบตเตอรี่รถไฟฟ้าทั่วไปจะมีอายุการใช้งานมากพอสมควร จนทำให้ราคานี้มีผลต่อค่าใช้จ่ายรวม เมื่อหักลบส่วนที่ประหยัดได้เมื่อเทียบกับรถน้ำมันแล้วยังคุ้มค่าที่จะใช้ หรือบางทีถ้ารถใช้งานน้อย แบตเตอรี่ก็อาจใช้ได้นานเกินอายุการใช้งานตัวรถไปเสียด้วยซ้ำ
หรือคิดอีกแบบลองเทียบแบตเตอรี่เป็นเครื่องยนต์ของรถใช้น้ำมัน ซึ่งที่่อายุใช้งาน 180,000 – 200,000 กม. นี่บางทีอาจเครื่องหลวมจนต้องยกเครื่องใหม่หรือ overhaul กันบ้างแล้วก็ได้
ทั้งนี้การเสื่อมของแบตเตอรี่ขึ้นกับปัจจัยมากมาย เช่น ลักษณะการใช้งานหรือขับขี่ ว่ามีการเร่งหรือรีดเอาพลังงานออกมาในอัตราสูงหรือเกิดความร้อนสูงที่แบตเตอรี่มากน้อยแค่ใน การชาร์จเร็วหรือชาร์จช้า และบ่อยแค่ไหน ฯลฯ ซึ่งแตกต่างกันไปตามลักษณะของรถแต่ละรุ่นและผู้ขับขี่แต่ละคน
อย่างไรก็ตาม ประเด็นนี้เป็นเรื่องที่ผู้คนทั่วไปมีความกังวลพอสมควรว่าเมื่อหมดระยะการรับประกันแล้วภาระหลักหลายแสนบาทนี้จะไปตกที่เจ้าของรถ ถึงแม้แนวโน้มราคาแบตเตอรี่จะถูกลงเรื่อยๆ ก็ตาม ดังนั้นผู้ที่จะเลือกใช้รถยนต์ไฟฟ้าจึงควรได้รับทราบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้้อย่างครบถ้วนเพื่อประกอบการตัดสินใจด้วย
ข้อมูลจากหนังสือ : รถไฟฟ้า EV 101
ซื้อได้ที่ : https://www.dplusshop.com/p/608