จริง ถ้าคิดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานต่อระยะทางที่รถวิ่งได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถที่ใช้ไฟฟ้าล้วนหรือ BEV ค่าพลังงานไฟฟ้าที่ใช้อาจถูกกว่าค่าน้ำมันเป็นเท่าตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่่น้ำมันขึ้นราคามากๆ ก็อาจประหยัดได้มากกว่านั้นอีก
ตัวอย่างเช่น สมมติคิดคร่าวๆ เติมน้ำมันเบนซิน (แก๊สโซฮอล 95) เต็มถังลิตรละประมาณ 33 บาท (ธันวาคม 2022) เต็มถัง 40 ลิิตร เป็นเงิน 1,320 บาท วิ่งได้ไกล 640 กม. (คิดคร่าวๆ 16 กม./ลิตร โดยคิดเทียบกับรถใช้้น้ำมันเบนซินเป็นหลัก ส่วนเครื่องดีเซลอาจประหยัดน้ำมันกว่านี้แต่ก็มีมลพิษมากกว่า) คิดเป็นค่าใช้จ่าย 2.06 บาทต่อกิโลเมตร
ในขณะที่รถใช้พลังงานไฟฟ้าชาร์จแบตเต็มด้วยความจุพลังงานประมาณ 50 กิโลวัตต์-ชั่วโมง หรือ kWh (50 หน่วยไฟฟ้า หรือ Unit ตามที่การไฟฟ้าคิดเงินเรา) วิ่งได้อย่างน้อย 280 กิโลเมตร ค่าไฟฟ้าปกติตามบ้านสูงสุดหน่วยละประมาณไม่เกิน 4.4 บาทเท่ากันตลอดวัน + ค่า ft (ขึ้นสูงสุดตอนนี้หน่วยละ 0.9343 บาท) รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและค่าบริการแล้วประมาณหน่วยละ 5.7 บาท ชาร์จเต็ม 100% คิดเป็นเงิน 5.7 x 50 = 285 บาท หรือค่าไฟฟ้ากิโลเมตรละ 1.02 บาท ซึ่งถูกกว่าน้ำมันประมาณ 1 เท่า
นอกจากนี้ถ้าใช้มิเตอร์แบบคิดแยกตามเวลาใช้งานหรือ TOU ซึ่งค่าไฟ (รวม FT) จะอยู่ระหว่างหน่วยละประมาณ 3.5 – 6.7 บาท แล้วแต่เวลาที่ใช้ หากชาร์จตอนค่าไฟถูก ก็จะคิดเป็นค่าไฟฟ้าแค่ 50 x 3.5 = 175 บาท หรือตกราว 0.625 บาทต่อกิโลเมตรเท่านั้น ประหยัดกว่า “สูงสุด” ถึง 3.3 เท่า หรือแม้แต่ถ้าชาร์จตอนค่าไฟแพง หรือชาร์จที่่สถานีชาร์จซึ่งคิดค่าไฟอาจถึงหน่วยละ 8 บาท ก็จะคิดเป็นค่าไฟฟ้า 50 x 8 = 400 บาท หรือตกราว 1.43 บาทต่อกิโลเมตร ซึ่งยังประหยัดกว่าค่าน้ำมันอยู่ดี
ส่วนใครที่กังวลเรื่องค่าเปลี่ยนแบตเตอรี่ ต้องยอมรับว่าราคาแบตเตอรี่ทั้งชุุดในปัจจุบันอาจจะสูงจนน่าตกใจก็จริง (บางรุ่นอาจถึง 50% ของราคารถหรือหลายแสนบาท) แต่รถไฟฟ้าเดี๋ยวนี้รับประกันแบตเตอรี่อย่างน้อยวิ่งได้ 150,000 กม. หรือ 8 ปี และแนวโน้มราคาแบตเตอรี่ก็ลดลงเรื่อยๆ จนไม่น่าเป็นห่วงเรื่องนี้มากนั
ส่วนในกรณีอุบัติเหตุจนแบตเตอรี่เสียหายตามที่เป็นข่าวอยู่หลายครั้งนั้น คงต้องให้บริษัทประกันตกลงกับผู้ขายให้ชัดเจนกว่านี้เรื่องวิธีและค่าใช้จ่ายในการซ่อม จะได้ไม่เป็นดราม่าอย่างที่เห็นกัน
ข้อมูลจากหนังสือ : รถไฟฟ้า EV 101
ซื้อได้ที่ : https://www.dplusshop.com/p/608