จำนวนรอบของการชาร์จ (Cycle) จะเป็นตัวเลขที่บ่งบอกถึงอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ ว่ายังเหลือให้ใช้งานได้อยู่อีกมากน้อยแค่ไหนจนกว่าจะเสื่อมสภาพ ซึ่งค่ามาตรฐานโดยทั่วไปสำหรับ iPhone, iPod Touch และ iPad/Apple Watch/MacBook อายุเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 500, 400 และ 1,000 Cycle ซึ่งถ้าเกินกว่านี้แบตฯจะเริ่มเสื่อม เก็บไฟได้ไม่เต็มความจุหรือไม่เสถียร ทีนี้เราจะรู้ได้อย่างไรล่ะว่า แบตเตอรี่บนมือถือที่เราใช้งานอยู่นั้น มันมีจำนวนรอบของการชาร์จหรือถูกใช้งานมากี่ Cycle แล้ว
หากเราใช้อุปกรณ์จำพวก iDevice ต่างๆ อย่าง iPhone, iPad ฯลฯ แล้ว “เจลเบรก” เอาไว้ ให้โหลดแอพฯที่ชื่อ BatteryDetective มาใช้ ซึ่งจะเห็นจำนวน Cycle ได้จากแอพบนมือถือเลย (ดังรูป)
แต่ถ้า “ไม่ได้เจลเบรก” เราจำเป็นต้องเชื่อมต่ออุปกรณ์ iDevice เข้ากับคอมฯ แล้วดูผ่านโปรแกรมในคอมฯ ซึ่งถ้าเราใช้ Mac OS ก็ให้ดาวน์โหลดโปรแกรมชื่อ CoconutBattery จาก www.coconut-flavour.com มาติดตั้ง ส่วนใครที่ใช้ Windows ก็ให้ดาวน์โหลดโปรแกรมชื่อ iBackupBot จาก www.icopybot.com มาติดตั้ง จากนั้นเชื่อมต่ออุปกรณ์เข้ากับคอมฯ แล้วเปิดโปรแกรมขึ้นมา (ในที่นี้ขอยกตัวอย่างภาพจากโปรแกรม iBackupBot)
โปรแกรมจะตรวจสอบรายละเอียดของอุปกรณ์ iDevice ที่เราเชื่อมต่อ เมื่อพบแล้วให้คลิกที่ชื่อของอุปกรณ์ที่เราใช้ (ในที่นี้คือ ToobPro) ในกรอบ Devices ดังรูป แล้วคลิกที่ More Information จะปรากฏกรอบแสดงข้อมูลต่างๆของแบตเตอรี่ที่อยู่ในตัวอุปกรณ์ของเรา จากรูป จะเห็นบรรทัดที่เขียนว่า CycleCount ซึ่งตัวเลขนี้ก็คือ จำนวนรอบของแบตเตอรี่ลูกนี้ที่ถูกชาร์จไปแล้วนั่นเอง (ในที่นี้คือ 350 ซึ่งยังต่ำกว่าค่ามาตรฐานของ iPhone ที่ประมาณ 500 อยู่พอสมควร ทุกวันนี้ชานร์จไฟและใช้งานได้เป็นปกติดี หลังผ่านการใช้งานมา 2 ปีกว่า ก็ถือว่าใช้งานได้เกินคุ้มแล้วอ่ะเนอะ ^^! แฮร่!)
ความหมายของบรรทัดอื่นๆ ก็เช่น DesignCapacity (ความจุของแบตฯที่ออกแบบมา), FullChargeCapacity (ความจุที่ชาร์จได้เต็มที่ ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามแต่ละรุ่นอุปกรณ์), BatteryCurrentCapacity (เปอร์เซ็นต์ของแบตฯ ณ ตอนนี้), BatteryIsCharging (สถานะของการชาร์จแบตฯ True=กำลังชาร์จหรือชาร์จเป็นปกติ/False=ไม่ได้ชาร์จหรือแบตฯมีปัญหาชาร์จไฟไม่เข้า ^^!) และ FullyCharged (แบตฯถูกชาร์จเต็มอยู่หรือไม่ True=เต็ม/False=ยังไม่เต็ม) เป็นต้น